วันพุธที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2553

ภูเก็ต

             นี่แหละจร้า......วิวสวยๆของจังหวัดภูเก็ต แหละก็ประวัติย่อๆ เอามาให้ดูกันเป็นน้ำจิ้มไปก่อนน่ะค่ะ

ภูเก็ต เป็นเกาะใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ตั้งอยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ๘๖๒ กิโลเมตร เป็นหมู่เกาะเดียวที่มีฐานะเป็นจังหวัด คำว่าภูเก็ต มาจาก " ภูเก็จ " ซึ่งมีความหมายว่าภูเขาแก้ว เคยเป็นที่ตั้งของมณฑลภูเก็ตได้รับสมญานามว่า มุกงามของไทย เป็นเกาะที่มีชื่อเสียงมาแต่โบราณ เคยเป็นดินแดนแห่งเศรษฐีเหมืองแร่ดีบุก มีแร่ดีบุกมากที่สุดในประเทศไทย การขุดแร่ดีบุกมีประวัติมากว่า ๕๐๐ ปีแล้ว นอกจากนี้ยังมีการ ปลูกยางพารา ทำสวนมะพร้าว สวนผลไม้


และทำการประมง อาคารในตัวเมืองภูเก็ตส่วนมากเป็นตึกสมัยเก่าแบบยุโรป ที่ยังคงได้รับการอนุรักษ์ไว้



ภูเก็ต เป็นเกาะที่สวยงาม มีชายทะเลขุนเขาสวยงาม เหมาะแก่การท่องเที่ยวอย่างยิ่ง เกาะภูเก็ตมีลักษณะยาวเรียวจากเหนือไปใต้ พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบสูงๆ ต่ำๆ มีที่ราบเป็นตอนๆ ประกอบด้วยเกาะบริวาร ๓๙ เกาะ พื้นที่ของภูเก็ตเฉพาะที่เป็นดินประมาณ ๕๔๓ ตารางกิโลเมตร เล็กที่สุดในภาคใต้ ส่วนยาวที่สุดวัดจากเหนือจดใต้ ๔๘ กิโลเมตร และส่วนกว้างที่สุด ๒๑ กิโลเมตร



ภูเก็ต เป็นเกาะใหญ่ที่สุดของประเทศไทย มีฐานะเป็นจังหวัดหนึ่งในภาคใต้ ตั้งอยู่ทางชายฝั่งทะเลตะวันตกของประเทศไทยในน่านน้ำทะเลอันดามัน มหาสมุทรอินเดีย มีพื้นที่ประมาณ 543 ตารางกิโลเมตร ความยาวสุดของเกาะภูเก็ตวัดจากทิศเหนือถึงทิศใต้ประมาณ 47.8 กิโลเมตร และส่วนกว้างที่สุดวัดจากทิศตะวันออกถึงทิศตะวันตกประมาณ 21.3 กิโลเมตร



มีภูมิอากาศแบบฝนเมืองร้อนมีลมพัดผ่านตลอดเวลา อากาศอบอุ่นและชุ่มชื้นตลอดปี มี 2 ฤดู คือ ฤดูร้อนและฤดูฝน ฤดูฝนเริ่มเดือนพฤษภาคม-ปลายเดือนตุลาคม ฤดูร้อนเริ่มประมาณเดือนพฤศจิกายน-เดือนเมษายน อุณหภูมิโดยเฉลี่ยสูงสุดประมาณ 33 อาศาเซลเซียส ต่ำสุด 23 องศาเซลเซียส ช่วงที่อากาศดีที่สุด อยู่ในช่วงเดือนพฤศจิกายน-เมษายน ไม่มีฝน ท้องฟ้าแจ่มใส อุณหภูมิประมาณ 31 องศาเซลเซียส




@@@@@@@@@@ใครอยากไป...ยกมือขึ้น@@@@@@@@@@

นี่แหละเรา..

               ประสบการณ์หักอก...อกหักครั้งร้ายแรง
                 ถึงจะเป็นอดีตที่ใครๆคิดว่าควรลืม
                   แต่สำหรับเราไม่เคยลืมสักนาที

อโรมาเธราพี คือ การนำน้ำมันหอม ระเหยที่สกัดมาจากพืชและส่วนต่างๆของ พืช เช่น ดอก, ผล, เมล็ด,ก้าน, ลำต้น, ราก และใบ) มาใช้ประโยชน์สำหรับร่างกาย จิตใจ และ อารมณ์ ตลอดจนความงาม เนื่องจาก กลิ่นหอมสามารถช่วยป้องกันและบรรเทา อาการเจ็บปวดได้ ในน้ำมันหอมระเหยนี้ มี สรรพคุณช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย สร้างความ กระปรี้กระเปร่า สดชื่น สด ใสได้



คำว่า อโรมาเธราพี นำมาใช้ครั้งแรก โดย เรเน มอรัชส กัตฟอส (Rene Maurice Gattefosse) นักเคมีชาวฝรั่งเศส เมื่อปี ค.ศ. 1928 โดยใช้หลักทางสรีรศาสตร์ที่ว่า มนุษย์ สามารถสัมผัสกลิ่นได้มากกว่าหมื่นชนิด กลิ่นที่มนุษย์ได้รับสัมผัสในแต่ละครั้งจะผ่าน ประสาทสัมผัสรับกลิ่น (Olfactory nerves) ซึ่งอยู่เหนือโพรงจมูก (Nasal cavity) เมื่อ กลิ่นหอมจากละอองเกสรดอกไม้ต่างๆ ผ่าน กระเปาะรับกลิ่น (Olfactory bulbs) ที่ติดต่อ กับลิมบิค ซิสเต็ม (Limbic system) ซึ่งเป็น สมองส่วนควบคุม อารมณ์ ความทรงจำ และการเรียนรู้ต่างๆ ของมนุษย์ จึงสามารถ ส่งผลกับอารมณ์และจิตใจ ได้โดยตรง



น้ำมันหอมระเหยที่สกัดจากพืชสมุนไพร หลายชนิด ได้ถูกค้นคว้าวิจัยเพื่อนำมา บำบัดรักษาโรคต่างๆ ซึ่งในตัวพืชสมุนไพรมี คุณสมบัติในการบำบัดรักษาแตกต่างกันออก ไป เช่น น้ำมันหอมระเหยที่สามารถฆ่าเชื้อ แบคทีเรีย รวมทั้งเชื้อราและยีสต์บางชนิด ให้ใช้น้ำมันหอมระเหยจากอบเชย กานพลู การบูร ลาเวนเดอร์ และยูคาลิปตัส ถ้าจะ คลายความเครียด นอนไม่หลับ ให้ใช้น้ำมัน หอมระเหยลาเวนเดอร์ ดอกส้ม หญ้าแฝก หรือโรสแมรี่ โดยใช้ทาหรือผสมกับน้ำอุ่นอาบ ก็ได้



การบำบัดรักษารักษาด้วยกลิ่นหอมนี้ มีอยู่หลายวิธี ได้แก่

การสูดดมโดยตรง ทำได้โดยเปิดฝา ขวดแล้วสูดดมกลิ่นโดยตรง หรือใช้สำลี ผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำมันหอมระเหยแล้วสูดดม วิธีนี้เป็นวิธีที่ง่ายและมีประสิทธิภาพดี

การสูดดมจากไอระเหย มี 2 วิธี คือ วิธีแรก หยดน้ำมันหอมระเหย 5-10 หยด ใน ชามอ่างที่มีน้ำร้อน หลังจากนั้นก้มหน้าเหนือ ชามอ่างพร้อมกับใช้ผ้าขนหนูสะอาดๆ คลุม เหนือศีรษะ และสูดหายใจลึกๆ วิธีนี้เหมาะ สำหรับบรรเทาอาการไข้หวัดได้เป็นอย่างดี วิธีที่ 2 คือ ใช้เตาน้ำมันหอมระเหยที่มีน้ำอยู่ 1/3 ส่วน หยดน้ำมันหอมระเหยลงไป พร้อม ทั้งจุดเทียนใต้เตา เมื่อน้ำร้อนไอน้ำจะพา กลิ่นหอมระเหยไปทั่วบริเวณ ในประเทศ ญี่ปุ่น มีการใช้กลิ่นส้มหรือกลิ่นกุหลาบในที่ ทำงานพบว่า พนักงานทำงานได้มีประสิทธิ ภาพดีขึ้น ประเทศไทยจะนำไปใช้ก็น่าจะดี เหมือนกัน

การอาบหรือแช่น้ำ หยดน้ำมันหอม ระเหยประมาณ 20-30 หยด ลงในอ่างน้ำอุ่น จากนั้นแช่ตัวประมาณ 20 นาที วิธีนี้จะได้รับ ความสดชื่นดีที่สุด อีกทั้งทำให้ร่างกายอบอุ่น สามารถฆ่าเชื้อโรคได้ บรรเทาอาการปวด เมื่อย ผ่อนคลายความตึงเครียดได้ กลิ่นที่ ใช้ได้ดี คือ กลิ่นโรสแมรี่, เบอร์กามอท, ลาเวนเดอร์ เป็นต้น

การนวด เป็นวิธีที่มี ประสิทธิภาพมาก น้ำ- มันหอมระเหยสามารถ ซึมเข้าสู่ผิวหนังผ่านทาง รูขุมขน นอกจากจะมี ผลต่อผิวพรรณแล้ว ยัง สามารถเข้าสู่ทางเดิน โลหิต และไปทั่วทุกส่วนของร่างกาย เชื่อกัน ว่าการนวดด้วยน้ำมันหอมระเหยเป็นวิธีที่ดี ที่สุดในการดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย วิธีใช้ : ให้ เจือจางน้ำมันหอมระเหย 10 หยด กับน้ำมัน หลัก 20 มิลลิลิตร แล้วนวดตามต้องการ (น้ำมันหลัก คือ น้ำมันที่สกัดได้จากพืช เช่น น้ำมันจากเมล็ดอัลมอนด์, น้ำมันงา, น้ำมัน โจโจบา หรือน้ำมันเมล็ดองุ่น เป็นต้น



ในการใช้น้ำมันหอมระเหย มีข้อควรระวัง เนื่องจากน้ำมันหอมระเหยมีความเข้มข้นสูง ควรมีการเจือจางก่อนเมื่อต้องใช้กับผิวหนัง โดยตรง มิฉะนั้นอาจทำให้เกิดอาการแพ้ได้ และควรหลีกเลี่ยงที่จะใช้หญิงมีครรภ์ เด็ก ผู้ป่วยความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ เบาหวาน ลมบ้าหมู ควรจะทำการศึกษารายละเอียด และคำเตือนในการใช้อย่างถี่ถ้วนก่อน


ลองทำกันดูน่ะค่ะ แล้วผลเป็นยังไงก็กลับมาบอกเล่ากันบ้างน่ะ

วันอังคารที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2553

วิธีคลายเครียด

วันนี้ แนะนำ 10 วิธีคลายเครียด  ที่น่ารู้ " มาแนะนำเพื่อให้เรามีสุขภาพดีทั้งกายและใจ ดีไหมคะ
1. ออกกำลังกาย
2. พูดระบายความเครียด
3. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
4. อาหารคลายเครียด
5. พักผ่อนท่องเที่ยว
6. ดนตรีคลายเครียด
7. กลิ่นบำบัดอโรมาเทอราปี
8. ฝึกหายใจคลายเครียด
9. ฝึกการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
10.คลายเครียดด้วยการนวด
ทางออกของความเครียดยังมีอีกมากมายค่ะ แต่10วิธีที่แนะนำนี้เป็นวิธีที่ทำได้ง่าย ปลอดภัยด้วยวิธีธรรมชาติค่ะ ความเครียดเป็นสิ่งที่ห้ามกันไม่ได้ สิ่งที่คุณทำได้คือ มีสติ หากรู้ว่าตัวเองเริ่มเครียดแล้วก็ต้องหยุดแล้วลองใช้10วิธีที่แนะนำมาใช้นะคะ

วันเสาร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2553

ศาสนาอิสลาม


ศาสนาอิสลาม เป็นศาสนาสำคัญศาสนาหนึ่งของโลก มีคนนับถือประมาณ 1,600 ล้านคน นับว่ามีจำนวนมากที่สุดเป็นอันดับสองในโลก พื้นที่รวมของกลุ่มประเทศมุสลิมทั้งหมดประมาณ 34,722,286 ตารางกิโลเมตร ตั้งแต่ลองจิจูด 141 องศาตะวันออก ทางด้านตะวันออกของเขตพรมแดนประเทศอินโดนีเซีย ทอดยาวไปจนถึงลองจิจูด 17.29 องศาตะวันตก ณ กรุงดาการ์ ประเทศเซเนกัล (Senegal) ซึ่งอยู่ในภาคตะวันตกของทวีปแอฟริกา จนถึงละติจูด 55.26 องศาเหนือ บริเวณเส้นเขตแดนตอนเหนือของประเทศคาซัคสถาน ทอดยาวเรื่อยไปจนถึงเส้นเขตแดนทางตอนใต้ของประเทศแทนซาเนีย ที่ละติจูด 11.44 องศาใต้ในโลกของเรานี้มีจำนวนประเทศกว่า 200 ประเทศ เป็นประเทศมุสลิมกว่า 67 ประเทศ ในประเทศไทยมีศาสนาอิสลามเข้ามาตั้งแต่สมัยสุโขทัย ศาสดาของศาสนาอิสลามคือ มุฮัมหมัด

ศาสนาอิสลาม คือ ความศรัทธา ข้อบัญญัติเกี่ยวกับการปฏิบัติและจริยธรรม ซึ่งบรรดาศาสดา ที่อัลลอฮฺ ได้ประทานลงมาเป็นผู้นำ เพื่อมาสั่งสอนและแนะนำแก่มวลมนุษยชาติ สิ่งทั้งหมดเหล่านี้เรียกว่า ดีน หรือ ศาสนา นั่นเอง ผู้ที่มีความศรัทธาจะตระหนักอยู่เสมอว่า ชีวิตของเขาได้พันธนาการเข้ากับอำนาจสูงสุดของพระผู้ทรงสร้างโลก ในทุกสถานภาพของเขาจะรำลึกถึงพระผู้เป็นเจ้า และมอบหมายตนเองให้อยู่ภายใต้การคุ้มครองของพระองค์ตลอดเวลา เขาเป็นผู้มีจิตใจมั่นคงและมีสมาธิเสมอ

อิสลามคือรูปแบบการดำเนินชีวิตทีถูกกำหนดโดยผู้ที่รู้รายละเอียดของมนุษย์มากที่สุดก็คือผู้สร้าง..อัลลอฮฺ      คำว่า อัลลอฮฺ แปลว่า พระเจ้า ซึ่งเป็นคำเรียกเฉพาะที่แยกออกจากคำในภาษาอาหรับอื่นๆที่มีความหมายว่า พระเจ้า

อิสลาม เป็นคำภาษาอาหรับ (ภาษาอาหรับ: الإسلام) แปลว่า การสวามิภักดิ์ ซึ่งหมายถึงการสวามิภักดิ์อย่างบริบูรณ์แด่ อัลลอฮฺ พระผู้เป็นเจ้า ด้วยการปฏิบัติตามคำบัญชาของพระองค์ อิสลาม มีรากศัพท์มาจากคำว่า อัส-สิลมฺ หมายถึง สันติ โดยนัยว่าการสวามิภักดิ์ต่อพระผู้เป็นเจ้าจะทำให้มนุษย์ได้พบกับสันติภาพทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ศาสนาอิสลามเป็นศาสนามนุษยชาติตลอดกาล ตั้งแต่แรกเริ่มของการกำเนิดของมนุษย์ คือนบีอาดำ ผ่านศาสดามาหลายท่านในแต่ละยุคสมัย จนถึงศาสดาท่านสุดท้ายคือมุฮัมหมัด และส่งผ่านมายังปัจจุบันและอนาคต จนถึงวันสิ้นโลก

บรรดาศาสนทูตในอดีตล้วนแต่ได้รับมอบหมายให้สอนศาสนาอิสลามแก่มนุษยชาติ ศาสนทูตท่านสุดท้ายคือนมุฮัมหมัด บุตรของอับดุลลอฮฺ บินอับดิลมุฏฏอลิบ จากเผ่ากุเรชแห่งอารเบีย ได้รับมอบหมายให้เผยแผ่สาส์นของอัลลอฮ์ในช่วงปี ค.ศ. 610 - 633 เฉกเช่นบรรดาศาสดาในอดีต โดยมี มะลักญิบรีล เป็นสื่อระหว่างอัลลอฮฺพระผู้เป็นเจ้าและบรรดาศาสดาท่านต่างๆมาโดยตลอด

พระโองการแห่งพระผู้เป็นเจ้าที่ทะยอยลงมาในเวลา 23 ปี ได้รับการรวบรวมขึ้นเป็นเล่มมีชื่อว่า อัลกุรอาน ซึ่งเป็นธรรมนูญแห่งชีวิตมนุษย์ และแบบอย่าง และวจนะที่รายงานโดยบุคคลรอบข้างที่ผ่านการกลั่นกรองสายรายงานแล้วเรียกว่า ฮะดีษ เพื่อที่มนุษย์จะได้ยึดเป็นแบบอย่าง และแนวทางในการครองตนบนโลกนี้อย่างถูกต้องก่อนกลับคืนสู่พระผู้เป็นเจ้า


ภาพการไปประกอบพิธีฮัจย์ของผู้ศรัทธาทั่วโลกที่กะห์บะห์(หินดำ)
ที่เมืองมักกกะห์ประเทศซาอุดิอาระเบีย





สาส์นแห่งอิสลามที่ถูกส่งมาให้แก่มนุษย์ทั้งมวลมีจุดประสงค์หลัก 3 ประการคือ:



1.เป็นอุดมการณ์ที่สอนมนุษย์ให้ศรัทธาในอัลลอฮ์ พระผู้เป็นเจ้าเพียงพระองค์เดียว ที่สมควรแก่การเคารพบูชาและภักดีโดยไม่นำสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาเทียบเคียง ศรัทธาในความยุติธรรมของพระองค์ ศรัทธาในพระโองการแห่งพระองค์ ศรัทธาในวันปรโลก วันซึ่งมนุษย์ฟื้นคืนชีพอีกครั้งเพื่อรับการพิพากษา และรับผลตอบแทนของความดีความชั่วที่ตนได้ปฏิบัติไปในโลกนี้ มั่นใจและไว้วางใจต่อพระองค์ เพราะพระองค์คือที่พึ่งพาของทุกสรรพสิ่ง มนุษย์จะต้องไม่สิ้นหวังในความเมตตาของพระองค์ และพระองค์คือปฐมเหตุแห่งคุณงามความดีทั้งปวง

2.เป็นธรรมนูญสำหรับมนุษย์ เพื่อให้เกิดความสงบสุขในชีวิตส่วนตัว และสังคม เป็นธรรมนูญที่ครอบคลุมทุกด้าน ไม่ว่าในด้านการปกครอง เศรษฐกิจ หรือนิติศาสตร์ตั้งแต่ระดับบุคคล ครอบครัว ไปจนกระทั่งระดับรัฐ อิสลามสั่งสอนให้มนุษย์อยู่กันด้วยความเป็นมิตร ละเว้นการรบราฆ่าฟันโดยไม่มีเหตุอันควร การทะเลาะเบาะแว้ง การละเมิดและรุกรานสิทธิของผู้อื่น ไม่ลักขโมย ฉ้อฉล หลอกลวง ไม่ผิดประเวณี หรือทำอนาจาร ไม่ดื่มของมึนเมาหรือรับประทานสิ่งที่เป็นโทษต่อร่างกายและจิตใจ ไม่บ่อนทำลายสังคมแม้ว่าในรูปแบบใดก็ตาม

3.เป็นจริยธรรมอันสูงส่งเพื่อการครองตนอย่างมีเกียรติ เน้นความอดกลั้น ความซื่อสัตย์ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ความเมตตากรุณา ความกตัญญูกตเวที ความสะอาดของกายและใจ ความกล้าหาญ การให้อภัย ความเท่าเทียม และความเสมอภาคระหว่างมนุษย์ การเคารพสิทธิของผู้อื่น สั่งสอนให้ละเว้นความตระหนี่ถี่เหนียว ความอิจฉาริษยา การติฉินนินทา ความเขลาและความขลาดกลัว การทรยศและอกตัญญู การล่วงละเมิดสิทธิของผู้อื่น

อิสลามเป็นศาสนาของพระผู้เป็นเจ้าที่เป็นทางนำในการดำรงชีวิตทุกด้านตั้งแต่ตื่นจนหลับ และตั้งแต่เกิดจนตาย แก่มนุษย์ทุกคน ไม่ยกเว้น อายุ เพศ เผ่าพันธุ์ วรรณะ ฐานันดร หรือ ยุคสมัย ใด
อิสลามสอนว่า ถ้าหากมนุษย์ พิจารณาด้วยสติปัญญาและสามัญสำนึกจะพบว่า จักรวาลและมวลสรรพสิ่งทั้งหลายที่มีอยู่ มิได้อุบัติขึ้นมาด้วยตัวเอง เป็นที่แน่ชัดว่า สิ่งเหล่านี้ได้ถูกอุบัติขึ้นมาโดยพระผู้สร้าง ผู้ทรงสูงสุดเพียงพระองค์เดียว ที่ไม่แบ่งภาค หรือแบ่งแยกเป็นสิ่งใด ไม่ถูกบังเกิด ไม่ถูกกำเนิด และไม่ให้กำเนิดบุตร ธิดาใดๆ ผู้ทรงสร้าง และบริหารสรรพสิ่งด้วยอำนาจและความรอบรู้ที่ไร้ขอบเขต ทรงกำหนดกฎเกณฑ์ที่โดยทั่วไปไม่มีการเปลี่ยนแปลงหรือไว้ทั่วทั้งจักรวาลหรือที่เข้าใจว่าเป็น"กฎธรรมชาติ" ทรงขับเคลื่อนจักรวาลด้วยระบบที่ละเอียดอ่อน มีเป้าหมาย ซึ่งไม่มีสรรพสิ่งใดถูกสร้างขึ้นมาอย่างไร้สาระ

พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเมตตา ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาอย่างประเสริฐจะเป็นไปได้อย่างไร ที่พระองค์จะปล่อยให้มนุษย์ดำเนินชีวิตอยู่ไปตามลำพัง โดยไม่ทรงเหลียวแล หรือปล่อยให้สังคมมนุษย์ และสิ่งมีชีวิต กำเนิดขึ้น แล้วดำเนินไปตามยถากรรมของตัวเอง สภาวะแวดล้อมที่สิ่งมีชีวิตดำรงอยู่จึงเป็นความพอดีอย่างทีสุดที่ผู้ใช้ปัญญา ไม่สามารถอธิบายได้ด้วย"ความบังเอิญ" สอดคล้องตามทฤษฎีความน่าจะเป็นทางคณิตศาสตร์

พระองค์ทรงขจัดความสงสัยเหล่านี้ ด้วยการประทานกฎการปฏิบัติต่าง ๆ ผ่านบรรดาศาสดา ให้มาสั่งสอนและแนะนำมนุษย์ไปสู่การปฏิบัติ สำหรับการดำเนินชีวิต แน่นอนมนุษย์อาจมองไม่เห็นผล หรือได้รับประโยชน์จากการทำความดี หรือได้รับโทษจากการทำชั่ว ของตนในชีวิตบนโลกนี้ ที่เป็นเพียงโลกแห่งการทดสอบ โลกแห่งการตอบแทนที่แท้จริงยังมาไม่ถึง

จากจุดนี้ทำให้เข้าใจได้ทันทีว่า ต้องมีสถานที่อื่นอีก อันเป็นสถานที่ตรวจสอบการกระทำของมนุษย์ อย่างละเอียดถี่ถ้วน ถ้าเป็นความดีพวกเขาจะได้รับรางวัลเป็นผลตอบแทน แต่ถ้าเป็นความชั่วกจะถูกลงโทษไปตามผลกรรมนั้น ศาสนาได้เชิญชวนมนุษย์ไปสู่หลักการศรัทธา และความเชื่อมั่นที่สัตย์จริง พร้อมพยายามผลักดันมนุษย์ ให้หลุดพ้นจากความโง่เขลาเบาปัญญา ระบอบการกดขี่ การแบ่งชั้นวรรณะ และบังเกิดสันติสุขของมนุษยชาติโดยรวมในที่สุด


 หลักศรัทธาอิสลามแนวท่านศาสดา
1.ศรัทธาว่าอัลลอฮฺเป็นพระเจ้า

2.ศรัทธาในบรรดาคัมภีร์ต่าง ๆ ที่อัลลอหฺประทานลงมาในอดีต เช่น เตารอต อินญีล ซะบูร และอัลกุรอาน

3.ศรัทธาในบรรดาศาสนทูตต่าง ๆ ที่อัลลอฮฺได้ทรงส่งมายังหมู่มนุษย์ และนบีมุฮัมหมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เป็นศาสนทูตคนสุดท้าย

4.ศรัทธาในบรรดามะลาอิกะฮฺ บ่าวผู้รับใช้อัลลอฮฺ

5.ศรัทธาในวันสิ้นสุดท้าย คือหลังจากสิ้นโลกแล้ว มนุษย์จะฟื้นขึ้น เพื่อรับการตอบสนองความดีความชั่วที่ได้ทำไปบนโลกนี้

6.ศรัทธาในกฎสภาวะ หรือ สิ่งที่เป็นการกำหนด และเงื่อนไขการกำหนดจากพระผู้เป็นเจ้า


 หลักจริยธรรม

ศาสนาสอนว่า ในการดำเนินชีวิตจงเลือกสรรเฉพาะสิ่งที่ดี อันเป็นที่ยอมรับของสังคม จงทำตนให้เป็นผู้ดำรงอยู่ในศีลธรรม พัฒนาตนเองไปสู่การมีบุคลิกภาพที่ดี เป็นคนที่รู้จักหน้าที่ ห่วงใย มีเมตตา มีความรัก ซื่อสัตย์ต่อผู้อื่น รู้จักปกป้องสิทธิของตน ไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น เป็นผู้มีความเสียสละไม่เห็นแก่ตัว และหมั่นใฝ่หาความรู้ ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นคุณสมบัติของผู้มีจริยธรรม ซึ่งความสมบูรณ์ทั้งหมดอยู่ที่ความยุติธรรม
สุเหร่า(โบถส์)ที่เมืองมาดีนะห์  ประเทศซาอุดิอารเบีย


 หลักการปฏิบัติ

ศาสนาสอนว่า กิจการงานต่าง ๆ ที่จะทำนั้น มีความเหมาะสมกับตนเองและสังคม ขณะเดียวกันต้องออกห่างจากการงานที่ไม่ดี ที่สร้างความเสื่อมเสียอย่างสิ้นเชิงส่วนการประกอบคุณงามความดีอื่น ๆ การถือศีลอด การนมาซ และสิ่งที่คล้ายคลึงกับสิ่งเหล่านี้ เป็นการแสดงให้เห็นถึงการเป็นบ่าวที่จงรักภักดี และปฏิบัติตามบัญชาของพระองค์ กฎเกณฑ์และคำสอนของศาสนา ทำหน้าที่คอยควบคุมความประพฤติของมนุษย์ ทั้งที่เป็นหลักศรัทธา หลักปฏิบัติและจริยธรรมเราอาจกล่าวได้ว่าผู้ที่ละเมิดคำสั่งต่าง ๆ ของศาสนา มิได้ถือว่าเขาเป็นผู้ที่ศรัทธาอย่างแท้จริง หากแต่เขากระทำการต่าง ๆ ไปตามอารมณ์และความต้องการใฝ่ต่ำของเขาเท่านั้น



 ศาสนวินัย นิติศาสตร์และการพิพากษา

1.วาญิบ คือหลักปฏิบัติภาคบังคับที่มุกัลลัฟ (มุสลิมผู้อยู่ในศาสนนิติภาวะ) ทุกคน ต้องปฏิบัติตาม ผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามจะต้องถูกลงทัณฑ์ เช่นการปฏิบัติตาม ฐานบัญญัติของอิสลาม (รุกน) ต่าง ๆ การศึกษาวิทยาการอิสลาม การทำมาหากินเพื่อเลี้ยงดูครอบครัว เป็นต้น

2.ฮะรอม คือกฏบัญญัติห้ามที่มุกัลลัฟทุกคนต้องละเว้น ผู้ที่ไม่ละเว้นจะต้องถูกลงทัณฑ์

3.ฮะลาล คือกฏบัญญัติอนุมัติให้มุกัลลัฟกระทำได้ อันได้แก่ การนึกคิด วาจา และการกระทำที่ศาสนาได้อนุมัติให้ เช่น การรับประทานเนื้อปศุสัตว์ที่ได้รับการเชือดอย่างถูกต้อง การค้าขายโดยสุจริตวิธี การสมรสกับสตรีตามกฏเกณฑ์ที่ได้ระบุไว้ เป็นต้น

4.มุสตะฮับ หรือที่เรียกกันติดปากว่า ซุนนะฮฺ (ซุนนะห์, ซุนนัต) คือกฏบัญญัติชักชวนให้มุสลิม และมุกัลลัฟกระทำ หากไม่ปฏิบัติก็ไม่ได้เป็นการฝ่าฝืนศาสนวินัย โดยทั่วไปจะเกี่ยวข้องกับหลักจริยธรรม เช่นการใช้น้ำหอม การขริบเล็บให้สั้นเสมอ การนมาซนอกเหนือการนมาซภาคบังคับ

5.มักรูฮฺ คือกฏบัญญัติอนุมัติให้มุกัลลัฟกระทำได้ แต่พึงละเว้น คำว่า มักรูหฺ ในภาษาอาหรับมีความหมายว่า น่ารังเกียจ โดยทั่วไปจะเกี่ยวข้องกับหลักจริยธรรม เช่นการรับประทานอาหารที่มีกลิ่นน่ารังเกียจ การสวมเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ขัดต่อกาลเทศะ เป็นต้น

6.มุบาฮฺ คือสิ่งที่กฏบัญญัติไม่ได้ระบุเจาะจง จึงเป็นความอิสระสำหรับมุกัลลัฟที่จะเลือกกระทำหรือละเว้น เช่นการเลือกพาหนะ อุปกรณ์เครื่องใช้ หรือ การเล่นกีฬาที่ไม่ขัดต่อบทบัญญัติห้าม



แหล่งที่มาของข้อมูล
http://th.wikipedia.org/

สาเหตุที่ทำให้วัยรุ่นฆ่าตัวตาย

สาเหตุของการฆ่าตัวตายในวัยรุ่นมักจะมาจากการสูญเสีย, แรงกดดัน, การขาดความเชื่อมั่น, และการไม่พูดไม่ปรึกษาใคร บางครั้งการสูญเสียคนรัก ที่ตายจากไป, การเลิกเป็นแฟนกัน, การถูกออกจากงาน, การเสียหน้า, พ่อแม่ หย่ากัน หรือแม้กระทั่งสัตว์เลี้ยงที่รักมากต้องมาตายจากไป ล้วนแต่เป็นการ สูญเสียที่กระทบต่อจิตใจ แรงกดดันจากโรงเรียนต้องทำคะแนนได้ดี, ต้องได้รับ การยอมรับจากเพื่อนในกลุ่ม และการต้องอยู่ในโอวาทของพ่อแม่ ล้วนผลักดันให้ วัยรุ่นฆ่าตัวตาย การขาดความเชื่อมั่นในบุคลิกภาพของตนเอง, ในความสามารถ ทางเพศ, ในฐานะทางสังคม, ในความพิการหรือในความด้อยโอกาสทาง การศึกษา การไม่พูดไม่ปรึกษาใครอาจเกิดจากความกลัวว่าจะถูกดูถูก, เหยียดหยาม, ขายหน้าหรือเสียศักดิ์ศรีจะทำให้ไม่สามารถระบายความรู้สึกในใจ ออกมา



วิธีสังเกตวัยรุ่นที่อยากฆ่าตัวตาย เราอาจสังเกตวัยรุ่นที่อยากฆ่าตัวตายจากคำพูด, อารมณ์ และพฤติกรรม คำพูดที่ส่งสัญญาณความรู้สึกอยากฆ่าตัวตาย เช่น "ฉันจะไม่เป็นตัวปัญหาอีกต่อไปแล้ว" "ไม่มีอะไรมีความหมายอีกต่อไปแล้ว" "แม่จะเสียใจนะถ้าไม่มีฉันอยู่" "อยากไปนอนและไม่ต้องตื่นอีกเลย" "ฉันคงอยู่ไม่นานหรอก" "อีกไม่นานก็คงจบกันแล้วหละ" ส่วนอารมณ์และพฤติกรรมของผู้ที่มีความเสี่ยงในการฆ่าตัวตาย ได้แก่ - ซึมเศร้า, เสียใจเป็นระยะเวลานาน ๆ - นอนไม่หลับหรือไม่อยากตื่นเป็นประจำ - เคยพยายามฆ่าตัวตาย - บริจาคของใช้ส่วนตัว - เตรียมการขั้นสุดท้าย เช่น เขียนพินัยกรรม, บริจาคร่างกาย, ทำประกันชีวิต - อยากเสี่ยงมากขึ้น เช่น ขับรถเร็วอย่างประมาท, ข้ามถนนไม่ค่อยดูรถ - ประสบอุบัติเหตุบ่อยขึ้น - ไม่สนใจเพื่อนฝูง และการเข้าสังคม - ผลการเรียนลดลงอย่างมาก - อยู่ตามลำพัง, แยกจากครอบครัว, ไม่สนใจงานประจำ, งานอดิเรก หรือกีฬา -สนใจเรื่องการตายและวิธีการฆ่าตัวตายแบบต่าง ๆ อย่างมาก



แหล่งที่มาของข้อมูล
http://www.kidsquare.com/content/content_detail.php?id=275&catid=377

สาเหตุของท้องผูก

ปัญหาท้องผูกส่วนใหญ่ เกิดจากการ นิยมรับประทานอาหารที่มีกากอาหารน้อยซึ่ง

ได้แก่อาหารจำพวกแป้งและเนื้อสัตว์ และไม่นิยมรับประทานอาหารที่มีกากอาหารมากได้แก่
.พวกผัก , ผลไม้ ชึ่งมีส่วนช่วยในการขับถ่าย , การดื่มน้ำน้อยก็เป็นสาเหตุของท้องผูกได้ ไม่ฝึกอุปนิสัยการขับถ่ายก็อาจทำให้ท้องผูกได้ , ยาบางชนิดอาจทำให้เกิดอาการท้องผูก.ซึ่งถ้าหยุดยาชนิดนั้น ๆ แล้วจะทำให้ท้องผูกดีขึ้น , สำหรับคนสูงอายุมักจะมีแนวโน้มที่จะเกิดอาการท้องผูกได้มากกว่าวัยอื่น ๆ อาจเป็นเพราะมีกิจกรรมน้อยลงและทานอาหารทีมีีกากอาหารน้อยเนื่องจากฟันไม่ดี หรือเป็นเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสารบางชนิดในสมองซึ่งมีส่วนทำให้เกิดอาการท้องผูกได้ค่ะ

ส่วนวิธีการป้องกันการอาการท้องผูก มีดังนี้ค่ะ

1. ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว
2. รับประทานอาการที่มีกากใยพอสมควรได้แก่ผักผลไม้เช่น กล้วย ส้ม สัปปะรด เป็นต้น จะทำให้อุจจาระเป็นก้อนแต่นิ่ม ช่วยในการขยายตัวและนวดทวารหนักได้เป็นอย่างดี และไม่ทำให้เกิดการครูดทวารหนักจนเกิดบาดแผล
3. ฝึกการขับถ่ายให้เป็นเวลา ไม่เบ่งมากขณะขับถ่าย เนื่องจากการเบ่งมากจะทำให้เลือด คั่งบริเวณบริเวณทวารหนัก ทำให้เนื้อเยื่อปากทวารหนักบวมและยื่นออกมาได้
4. ออกกำลังกายอยู่เสมอ
5. นอนหลับผักผ่อนให้เพียงพอ
6. หลีกเลี่ยงอาหารที่ระคายเคืองทางเดินอาหารเช่น อาหารรสจัด ชา กาแฟ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลล์



ข้อมูลจาก
www.thai4health.com/articel6.php

วันอังคารที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2553

รอมดอน เดือนที่แสนพิเศษ

มนุษย์ย่อมมีการขาดทุนเสมอ ยกเว้นผู้ประกอบความดีและดำรงชีวิตบนหนทางของศาสนาอย่างเคร่งครัด และในทุกเวลามนุษย์จะมีโอกาสทบทวนคุณค่าของชีวิตของเขา อันเป็นวิถีทางในการสำรวจความศรัทธาและความผูกพันกับพระผู้เป็นเจ้า บุคคลที่ไม่สำนึกถึงความสำคัญของเวลา ย่อมจะไม่มีโอกาสประกอบความดี อันเนื่องจากไม่มีการคำนึงถึงความโปรดปรานและคุณค่าของเวลาและชีวิต จึงเป็นเหตุที่ทำให้มนุษย์นั้นจะอยู่ในความทุกข์ตลอดกาล อัลอิสลามสอนให้เราตระหนักในคุณค่าของเวลา และระลึกถึงโลกหน้าอันเป็นเป้าหมายสำหรับผู้ศรัทธาที่ใช้ชีวิตอย่างประหยัดและคุ้มค่า โดยมีหลักการของศาสนาเป็นมาตรการที่จะควบคุมกิจกรรมของชีวิตของมุอฺมิน



ตลอดระยะ 1 ปี มนุษย์ทุกคนจะปฏิบัติตัวโดยใช้เวลาเป็นต้นทุน ซึ่งกำไรที่จะได้ในชีวิตนั้นมักจะขึ้นอยู่กับวิธีใช้เวลานั่นเอง เปรียบเสมือนนักธุรกิจซึ่งนำต้นทุนไปใช้ในการค้าโดยมีพื้นฐานและข้อมูลเกี่ยวกับการตลาดและการผลิต แน่นอนผลกำไรของนักธุรกิจคนนี้จะแตกต่างจากอีกคนหนึ่งที่นำต้นทุนไปสู่การทำการค้าโดยปราศจากข้อมูลและประสบการณ์ จึงเป็นสาเหตุที่จะทำให้เขาล้มละลาย สิ้นกำไรและต้นทุนด้วยซ้ำ



ในอัลกุรอานมีคำสอนจากอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ต่อมนุษย์โดยทั่วไปและเฉพาะบรรดาผู้ศรัทธา ซึ่งจะเป็นบทเรียนสำหรับมนุษยชาติ ให้ใช้เวลาอย่างประหยัด ดำรงชีวิตอย่างมีค่า อัลลอฮฺทรงระบุคำพูดของยะฮูดที่มีความหวังในการจะมีชีวิตยืนนาน แต่อัลลอฮฺสอนพวกเขาว่า ถึงแม้ว่าชีวิตจะยืนนาน แต่ไม่เป็นสาเหตุที่จะทำให้พวกเขาพ้นจากนรก เพราะพวกเขาไม่ได้ใช้ชีวิตตามพระบัญชาของพระองค์ ในซูเราะฮฺอัลบะเกาะเราะฮฺ อายะฮฺที่ 96 อัลลอฮฺตรัสไว้มีความว่า "และแน่นอนเหลือเกิน เจ้าจะพบว่าพวกเขาเป็นมนุษย์ที่ห่วงใยยิ่งต่อชีวิตความเป็นอยู่ และยิ่งกว่าบรรดาผู้ที่ให้มีภาคีขึ้น (แก่อัลลอฮฺ) เสียอีก คนหนึ่งคนใดในพวกเขานั้นชอบหากว่าเขาจะถูกให้มีอายุถึงพันปี แล้วมันจะไม่ทำให้เขาห่างไกลจากการลงโทษไปได้ ในการที่เขาจะถูกให้มีอายุยืนนาน และอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงเห็นในสิ่งที่เขาเหล่านั้นกระทำกันอยู่" อายะฮฺนี้สอนบรรดาผู้ศรัทธาว่า ชีวิตของมนุษย์ย่อมจะไม่มีคุณค่าหากไม่ดำรงไว้ซึ่งการปฏิบัติตามพระบัญชาของพระผู้เป็นเจ้า และจะสอนว่าชีวิตของมนุษย์นั้น แม้ว่าจะสั้น........ก็ตาม ถ้าดำรงชีวิตอย่างเป็นมุอฺมิน เป็นผู้รับใช้พระเจ้า ก็จะเป็นกำไรและความสำเร็จอย่างแน่นอน



ในปีนี้เราคงยังมีโอกาสที่จะทำสัญญามั่นกับอัลลอฮฺอีกครั้งโดยใช้เวลาอันประเสริฐมีความศักดิ์สิทธิ์ในเดือนรอมฎอน เป็นจังหวะในการทบทวน แก้ไข และปรับปรุงชีวิตของเราให้สอดคล้องกับหลักการของศาสนา ถึงแม้ว่าอดีตของเรานั้นย่อมจะมีความบกพร่องหรือพฤติกรรมชั่วร้าย แต่ประตูแห่งความเมตตาที่อัลลอฮฺทรงเปิดไว้ในเดือนรอมฎอนจะเป็นจังหวะดีเลิศที่ต้องไม่พลาดสำหรับผู้มีความหวังในการอภัยโทษของอัลลอฮฺ ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า "เมื่อเดือนรอมฎอนมาถึงแล้ว ประตูแห่งสวรรค์จะถูกเปิด และประตูแห่งนรกจะถูกปิด และบรรดาชัยฏอนมารร้ายจะถูกล่ามโซ่" (บันทึกโดยบุคอรียฺ มุสลิม และอะหมัด)



มุสลิมอาจจะอยู่ห่างจากคำบัญชาของอัลลอฮฺโดยไม่มีโอกาสศึกษาอัลกุรอานหรือนำบทบัญญัติของอัลกุรอานมาเป็นบรรทัดฐานในการดำเนินชีวิต แต่เมื่อเข้าเดือนรอมฎอนแล้ว มุสลิมทุกคนต้องทบทวนความสัมพันธ์กับอัลกุรอาน และพิจารณาชีวิตของเขาในการที่เขานั้นเป็นบ่าวของอัลลอฮฺ จึงต้องอยู่ภายใต้อำนาจแห่งพระบัญชาของพระองค์ อัลลอฮฺตรัสไว้ในซูเราะฮฺอัลบะกอเราะฮฺ อายะฮฺที่ 185 ว่า “เดือนรอมฎอนนั้น เป็นเดือนที่อัลกุรอานได้ถูกประทานลงมาให้ฐานะเป็นข้อแนะนำสำหรับมนุษย์ และเป็นหลักฐานอันชัดเจนเกี่ยวกับข้อแนะนำนั้น และเกี่ยวกับสิ่งที่จำแนกระหว่างความจริงกับความเท็จ” นั่นหมายถึงว่า อัลกุรอานต้องมีบทบาทสูงในชีวิตของมุสลิม ซึ่งฮิดายะฮฺหรือบรรทัดฐานของเขาจำเป็นต้องมาจากอัลกุรอาน อัลลอฮฺจึงเตือนให้เราแสวงหาจังหวะที่เมาะสมหสำหรับผู้ตั้งใจปฏิบัติตัวอย่างถูกต้องในเดือนรอมฎอน หากมุสลิมได้เข้าสู่เดือนรอมฎอนโดยมีความจริงใจ (อะซีมะฮฺ) ในการทำอิบาดะฮฺและในการเตาบัตตัว แน่นอน อัลกุรอานจะเป็นกำไรอันล้ำค่าสำหรับเขา แต่จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องคำนึงถึงความศักดิ์สิทธิ์ ความยิ่งใหญ่ และความจำเริญของอัลกุรอาน เพราะถ้าหากว่ามุสลิมจะมองเห็นอัลกุรอานในเดือนรอมฎอนเหมือนเดือนอื่นๆ เขาก็จะไม่มีโอกาสทบทวนในความสัมพันธ์กับอัลกุรอาน



ประชาชาติอัลอิสลามได้ถือศีลอดใช้เวลาในเดือนรอมฎอนเป็นร้อยๆปี แต่ทำไมสภาพอีมานและอิบาดะฮฺของบรรดามุสลิมีนจึงไม่สมกับความประเสริฐและความยิ่งใหญ่แห่งเดือนรอมฎอน ซึ่งเป็นข้อสังเกตสำหรับประชาชาติหรือวัฒนธรรมอื่นๆ เมื่อเขามีเทศกาลหรือฤดูเกี่ยวกับศาสนกิจ จะเห็นว่ามีความขะมักเขม้นในกิจกรรมของเขา โดยจะทำให้บรรยากาศของเทศกาลมีชีวิตชีวา แต่สำหรับประชาชาติอิสลามขณะนี้ได้หลงลืมความประเสริฐของฤดูแห่งการทำอิบาดะฮฺ และยังนำฤดูหรือเทศกาลของศาสนิกชนอื่นมาฉลอง เช่น เฉลิมฉลองปีใหม่ของคริสตศักราช วันวาเลนไทน์ วันสงกรานต์ ฯลฯ นอกจากนั้น ส่วนมากในประชาชาติอิสลามได้นำอุตริกรรมที่ไม่มีในศาสนบัญญัติ ประดิษฐ์มาเพื่อเฉลิมฉลอง เช่น วันเมาลิดนบี ทั้งๆที่นบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ยืนยันว่าวันเฉลิมฉลองของบรรดามุสลิมีนมีเพียง 2 วันคือ อีดุ้ลฟิตริและอีดุ้ลอัฎฮา



เมื่อเรากลับมาพิจารณาสาเหตุที่ทำให้มุสลิมไม่ตระหนักในความประเสริฐของเดือนรอมฎอน จะพบว่าประเด็นสำคัญที่ส่งผลกระทบในเรื่องนี้คือ การที่มุสลิมนั้นยอมแพ้ต่อนัฟซูอารมณ์ใฝ่ต่ำ เนื่องด้วยความอยาก ความเคยชิน และความเคยตัว จึงทำให้ศักยภาพแห่งอีมานเสื่อมโทรม หมดกำลังในการดิ้นรนต่อสู้อุปสรรคต่างๆ เช่น สภาพอากาศ ความรื่นเริง ความสุข และผู้ขัดขวางแนวทางในการทำอิบาดะฮฺของเขา อุปสรรคดังกล่าวมักจะเป็นสิ่งปกติที่มุอฺมินต้องประสบในชีวิตของเขา และเป็นสิ่งธรรมดาที่มุอฺมินต้องต่อสู้ อดทน(ซอบัร) และยืนหยัด จนกระทั่งบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ ก็คือความสำเร็จในการทำอิบาดะฮฺให้สมประสงค์ของศาสนบัญญัติ



แต่มุสลิมที่ไม่เตรียมพร้อมในการต่อสู้กับอุปสรรคต่างๆ ย่อมจะเผชิญกับความลำบากในการทำอิบาดะฮฺ โดยเฉพาะในฤดูกาลทำอิบาดะฮฺเช่นเดือนรอมฎอน เพราะฉะนั้น เมื่อเราสังเกตว่าการทำอิบาดะฮฺของเรานั้นไม่มีลักษณะกระตือรือร้น หรือไม่ขยันปฏิบัติอย่างขะมักเขม้น เราต้องทราบว่า อีมานของเราขณะนั้นไม่มีศักยภาพในการต่อสู้อุปสรรคแห่งการทำอิบาดะฮฺ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเสริมอีมานให้เพิ่มขึ้น เติมพลังแห่งความเชื่อในคำบัญชาของพระองค์อัลลอฮฺ และแสวงหาความรู้ในหลักการที่จะทำให้เรามีศักยภาพในการต่อสู้อุปสรรคต่างๆ และอย่าหวังว่าเราจะต้อนรับเดือนรอมฎอน โดยมีศักยภาพอันสมบูรณ์ที่จะทำให้เราทำอิบาดะฮฺได้อย่างสะดวกสบาย แต่สมรภูมิแห่งการต่อสู้อุปสรรคต่างๆ ก็คือ เดือนรอมฎอนนั่นเอง ซึ่งมุสลิมที่สามารถปฏิบัติอิบาดะฮฺอย่างเคร่งครัด ขยันทำความดี แสวงบุญ และยืนหยัดในแนวทางจนกระทั่งถึงสิ้นเดือนรอมฎอน ก็จะถือว่าได้รับชัยชนะและประสบความสำเร็จ อันเป็นรางวัลใหญ่หลวงสำหรับมุสลิมที่ลงทุนและเสียสละเพื่อรักษาอีมานและสภาพความเป็นบ่าวของอัลลอฮฺ นั่นคือเป้าหมายที่ต้องตั้งไว้ในทุกปีเมื่อเข้าสู่เดือนรอมฎอน จึงขอให้พี่น้องทุกท่านตั้งสัญลักษณ์ไว้ในการต้อนรับเดือนรอมฎอนคือ จะทำอย่างไรเพื่อให้ได้รับชัยชนะในเดือนรอมฎอน



วันพุธที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Flash คืออะไร ทำไมถึงต้องใช้ Flash


หากกล่าวกันถึงโปรแกรม Flash ในปัจจุบัน ในแวดวงของนักพัฒนาเว็บไซต์ นักออกแบบ Multimedia หรือเหล่าคนทำ Animation คงไม่มีใครไม่รู้จักเจ้าโปรแกรมนี้เป็นแน่ ในฐานะที่เป็นเครื่องมือสร้าง Animation ที่ทรงคุณภาพ และสามารถสร้างงานที่ตอบโต้กับผู้ใช้ได้อย่างยอดเยี่ยม อีกทั้งยังเป็นที่รู้จักในฝั่งของผู้ชมในฐานะ Animation ตื่นตาตื่นใจที่ทำให้การท่องเว็บไซต์ หรือการนั่งชม Presentation ไม่ใช่ภาพนิ่งๆ น่าเบื่ออีกต่อไป

เมื่อครั้งที่โปรแกรมนี้เกิดขึ้นมา มันถูกสร้างเป็นโปรแกรมวาดภาพ ต่อมาได้ถูกพัฒนาต่อในส่วนของการสร้าง Animation และยิ่งเพิ่มประโยชน์ใช้สอยขึ้นอีกเมื่อเสริมด้วยความสามารถในการตอบโต้กับ ผู้ชมงาน ทำให้โปรแกรมนี้ได้รับความนิยมสูงสุดในบรรดาโปรแกรมสำหรับสร้าง Animation และ Interactive แบบ 2 มิติในยุคปัจจุบัน


งาน Flash นั้นแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ งาน Online (งานบนเว็บไซต์ที่ต้องดูผ่านระบบอินเทอร์เน็ต) และงาน Offline (งานที่เปิดบนคอมพิวเตอร์โดยไม่ต้องต่อระบบอินเทอร์เน็ต)  Flash คือโปรแกรมที่คุณอาจเลือกใช้ แต่ทีนี้จะเหมาะสมหรือมีคุณสมบัติตรงกับรูปแบบงานของคุณหรือไม่อย่างไร ต้องลองดูวิเคราะห์ข้างล่างนี้ค่ะ



จุดเด่นในการใช้ Flash

1. ง่ายและให้คุณอิสระต่อการพัฒนางาน ในแบบที่คุณไม่สามารถหาได้จากไหนอีกแล้ว
2. เหมาะกับการงานแบบอินเตอร์แอคทีฟ เช่นหากคุณต้องการจะใส่เสียงเพลง หรือเสียงพูดลงไป หรือแม้แต่ใส่ภาพวิดีโอ ก็สามารถทำได้ จริงว่าโปรแกรมอื่น เช่น Window Media Player หรือ Real Player ก็คือสามารถทำได้เช่นกัน แต่ 97% ก็เลือกใช้แฟลช
3. สามารถเปิดใช้เล่นได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น คอมพิวเตอร์ พีดีเอ โทรศัพท์มือถือ ทีวีบนรถยนต์ หรือแม้แต่นาฬิกาข้อมือ ภาพของงานที่ใช้โปรแกรมแฟลชก็ยังคงดูได้ไร้กังวล
4. ใช้งานร่วมกับโปรแกรมหรือไฟล์งานอื่นได้มากมาย เช่น GIF JPEG PNG PCT TIF FreeHand EPS Illustrator WAV AIF และ MP3
5. ใช้ฟอนต์ได้ง่าย โดยคุณไม่ต้องทำการคอนเวิร์ทฟอนท์ให้ยุ่งยาก
6. เป็นโปรเจ็คเตอร์ฉายหนังอย่างเดียวก็ยังได ้
7. ไม่ต้องรีโหลดหรือรีเฟรช ข้อมูลสามารถอัพเดทได้เองอัติโนมัติ


จุดอ่อนของการใช้ Flash

1. การใช้แฟลชจำเป็นต้อง Install โปรแกรมลงเครื่อง ซึ่งอาจมีปัญหาสำหรับบางบริษัทที่ไม่อนุญาตให้พนักงานลงโปรแกรมในคอมพิวเตอร์บริษัท
2. การเล่นภาพหรือวิดีโอด้วย Flash MX ยังไม่สามารถให้คุณภาพได้ดีเท่ากับปกติ
3. สำหรับคุณที่ต้องการให้คอนเท็นท์ของคุณแสดงในเสริ์ชเอ็นจิ้นเว็บต่าง ๆ แต่คอนเท็นท์บนแฟลชไมสามารถโชว์บนเสิร์ชเอ็นจิ้นได้
4. มีปัญหาในการพิมพ์งาน (Print) ที่ยุ่งยาก


วันพุธที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2553