วันพุธที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ปาย...ดีกว่าเนอะ!

วันนี้.....เราก็ไปรวบรวมภาพที่น่าประทับใจมาจากเว็บไซต์ต่างมาฝากเพื่อนๆกัน  ค่ะ     เผื่อว่าใคร ๆที่ไม่รู้จะไปเที่ยวใหนดี  ได้เห็นบรรยากาศที่ ----ปาย----แล้วนึกอยากจะไปเที่ยวกันดูบ้าง
       


 


                  ขอขอบคุณภาพจาก      www.scholiday.co.

วันอังคารที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ซากุระในเมืองไทยจร้า


วิวสวยๆในสวนรถไฟ ที่ กรุงเทพฯ
ดูเหมือนที่ญี่ป่นใหมหล่ะค่ะ
อันนี้ต้องยกความดีความชอบ
ให้กับพี่ตากล้องที่แสนน่ารักของเรา
*** พี่  ตั้ม  ***
ทำให้เราไม่ต้องควักกระเป๋าซื้อตั๋ว
ไปถึงญี่ปุ่น แดนซากุระ
****ชอบมากๆเลย****






วันศุกร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2553

อกหักเรื่องเล็กแต่......





มีคนเคยบอกว่า "อกหักเรื่องเล็ก อกเล็กซิเรื่องใหญ่" แต่เมื่อโดนหักอกมาละก็ อกหักกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาทันที หลายคนคงเคยอกหักมาแล้ว หรือบางคนก็คงเคยหักอกคนอื่นมาแล้ว
บางคนก็ช้ำไปหลายวัน
บางคนเก่งร้องไห้วันเดียวก็เข้มแข็งขึ้นมาเลย
บางคนเก็บตัวเอง
บางคนก็ทำร้ายตัวเอง
และบางคนก็พยายามทุกวิถีทางที่จะคืนดีให้ได้

และวินาทีแรก ที่โดน "บอกเลิก" คงอึ้ง ทำอะไรไม่ถูก ร้องไห้ มันอื้ออึง เราจะทำอะไรต่อดี ต้องทำตัวยังไงดี ความคิดหลุดลอย....
แล้วคุณหละค่ัะสิ่งแรกที่คุณจะทำเมื่อโดน "บอกเลิก" คืออะไร ?



วันพฤหัสบดีที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2553

lady gaga

เมื่อครั้งที่เลดี้ กาก้า ยังเด็กนั้นเธอชอบที่จะร้องเพลงของไมเคิล แจคสันและซินดี้ ลอเปอร์ไปกับเครื่องอัดเทปพลาสติกอันจิ๋วของเธอ พร้อมกับกระโดดโลดเต้นไปกับคุณพ่อและเสียงเพลงของวงโรลลิ่ง สโตนส์และเดอะบีทเทิลส์ เด็กสาวแสนสดใสและเต็มเปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์คนนี้สนุกกับการเต้นรำไปรอบๆโต๊ะในร้านอาหารย่านอัพเพอร์ เวสต์ ไซด์ ใช้แท่งขนมปังกรอบมาทำเป็นไม้กลอง และเธอก็ชอบที่จะต้อนรับพี่เลี้ยงคนใหม่ในชุดวันเกิดด้วยความไร้เดียงสา จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าสาวน้อยจากครอบครัวอิตาเลียนแสนดีในนิวยอร์กคนนี้ จะกลายมาเป็นนักร้อง นักแต่งเพลง ที่เพียบด้วยความสามารถในการโชว์แบบมีสไตล์ชนิดหาตัวจับยากของวันนี้ในนามของ เลดี้ กาก้า (Lady GaGa)


ดูแล้วอาจเหมือนจุดมุ่งหมายของเธอนั้นสูงเหลือเกิน แต่ลองพิจารณาดูดีๆ ในฐานะของศิลปิน กาก้าคือเด็กสาวที่เมื่อตอนอายุ 4 ขวบเธอหัดเล่นเปียโนด้วยการฟัง อายุ 13 เธอแต่งเพลงเปียโนบันลาดเพลงแรก พอ 14 เธอก็โชว์เดี่ยวไมโครโฟนตามไนต์คลับในเมืองนิวยอร์กอย่าง Bitter End ในตอนกลางคืน ส่วนกลางวันเธอกับโดนพวกเพื่อนร่วมห้องที่โรงเรียนของพวกคุณหนู่ล้อเลียนสไตล์ที่โดดเด่นไม่เหมือนใครของเธอ อายุ 17 เธอก็กลายเป็นหนึ่งในเด็ก 20 คนในโลกที่ได้ตอบรับเข้าเรียนก่อนเกณฑ์ที่ Tisch School of the Arts at NYU กาก้าได้เซนต์สัญญาตอนวันเกิดอายุ 20 ปี เขียนเพลงให้ศิลปินหลายรายก่อนจะออกอัลบั้มของตนเอง (อาทิ Pussycat Dolls และอีกมากมายในสังกัด Interscope) แบบนี้คงพูดได้ว่าเลดี้ กาก้า คงไปถึงจุดมุ่งหมายอันแสนไกลของเธอได้ไม่ยากเลย

สารสนเทศที่ดี

 ลักษณะของสารสนเทศที่ดี คือ

 
1. มีความถูกต้อง แม่นยำ


2. ทันต่อการใช้งาน (ทันสมัยอยู่เสมอ)


3. ความสมบูรณ์ในตัวเอง


4. มีความกะทัดรัก ชัดเจน


5. ตรงกับความต้องการ


นอกจากนี้สารสนเทศที่ดีควรมีคุณสมบัติดังนี้


- มีความลำเอียดแม่นยำ


- มีคุณสมบัติเชิงปริมาณ สามารถแสดงออกมาในรูปของตัวเลข


- มีความยอมรับได้


- ใช้งานได้ง่ายและรวดเร็ว


- ไม่ลำเอียง


- ชัดเจน เข้าใจง่าย

วันพุธที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ข้อห้ามเวลาเข้านอน

การนอนคือการพักผ่อน หลังจากเหนื่อยล้ามาทั้งวัน แล้วนอนอย่างไรไม่ให้เสียสุขภาพ วันนี้เกร็ดความรู้มีข้อห้ามทำก่อนนอนมาบอกกัน เพื่อสุขภาพที่ดี...




1. อย่าใส่นาฬิกาข้อมือนอน เพราะขณะที่นาฬิกาทำงานไปเรื่อย ๆ นั้น ล้วนปล่อยพลังงาน ถ้าใส่นาฬิกาข้อมือนอน จะมีผลต่อสุขภาพระยะยาว



2. ไม่ควรนอนหลับไปพร้อม ๆ กับโทรศัพท์ หรือวางโทรศัพท์มือถือไว้ใกล้ ๆ ใครที่ชอบใช้มือถือเป็นนาฬิกาปลุกยามเช้า กรุณาเก็บมือถือไว้ห่าง ๆ เพราะหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ระบุว่า โทรศัพท์มือถือ จะปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมาขณะเปิดเครื่องไว้ และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเหล่านี้ มีผลกับระบบประสาท เพราะฉะนั้น ตอนนอนก็ควรปิดโทรศัพท์มือถือซะดีกว่า



3. อย่าหลับไปพร้อมกับเครื่องสำอาง ไม่ว่าจะเหนื่อยอ่อนเมื่อยล้ายังไง ต้องล้างเครื่องสำอางออกให้หมด เพราะการหลับทั้ง ๆ ที่เครื่องสำอางยังคาอยู่ที่ผิวหน้า จะทำให้เกิดปัญหาด้านผิวพรรณระยะยาว



4. (สำหรับสาว ๆ เท่านั้น) อย่าใส่ยกทรงนอน เพราะนักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกัน พบว่าการใส่ยกทรงนานเกิน 12 ชั่วโมง จะเป็นการเพิ่มอัตราเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งทรวงอกได้ ฉะนั้น ก็อย่าใส่ยกทรงนอนเลย



รู้ข้อห้ามแล้ว ก็ลองปฏิบัติกันดู เพื่อการนอนที่ดีและเพื่อสุขภาพด้วยนะคะ



อาหารที่ควรกินในช่วงลดน้ำหนัก

สาวๆ ที่กำลังลดน้ำหนักหรือคนที่กำลังรักษาน้ำหนักและสุขภาพควรที่จะให้ความสนใจกับอาหารการกินของเรานะคะ

คาร์โบไฮเดรต
ควรเป็นข้าวซ้อมมือ ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีต เพราะมีเส้นใยสูง ซึ่งเป็นการป้องกันไม่ให้ร่างกายดูดซึมไขมันได้เร็วนัก และร่างกายต้องใช้พลังงานในการย่อยมากกว่าแป้งขัดสีหรือข้าวขาวธรรมดาด้วย ค่ะ ทำให้อิ่มนาน นอกจากนี้ยังมีวิตามินบีสูง ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการเผาผลาญอาหารของร่างกายให้สูงขึ้นด้วยค่ะ

โปรตีน
ควรเป็นเนื้อปลาต่างๆ ไก่ไม่ติดหนัง เต้าหู้ หรือเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน
เพื่อให้ได้รับไขมันน้อยลง ย่อยง่าย โดยเฉพาะปลาและเต้าหู้จะให้พลังงานต่ำ จึงเหมาะอย่างยิ่งที่จะกินในช่วงลดน้ำหนัก แต่ไม่ควรนำไปทอดนะคะ ยังไงก็อ้วนค่ะ เพราะการทอดต้องใช้น้ำมันเยอะ

ใยอาหาร
แต่ละมื้อควรมีผักซึ่งควรเลือกผักที่มีน้ำเยอะ ไม่หวานมาก ควรเลือกประเภทใบมากกว่าประเภทหัว ผลไม้ก็ไม่ควรทานที่มีรสหวานมาก เช่น ทุเรียน องุ่น มะม่วงสุก เงาะ ลำใย จะมีปริมาณน้ำตาลสูงค่ะ

กินผักผลไม้ที่ช่วยในการเผาผลาญอาหาร
ได้แก่ธัญพืชต่างๆ เช่นถั่วเขียว ถั่วเหลือง อัลมอนด์ถั่วแดง หรือถั่วเมล็ดแห้ง เช่น ถั่วลิสง อัลมอนด์ แมคาเดเมีย วอลนัท เป็นต้น เป็นพืชที่มีใยอาหารและวิตามินบีสูง จึงช่วยกระตุ้นการเผาผลาญร่างกาย แต่ก็อย่ากินมากนะคะ ถั่วเมล็ดแห้งก็ยังมีไขมันสูงค่ะ

น้ำมันมะกอก
เป็นน้ำมันที่มีกรดโอเมก้า 3 และไขมันไม่อิ่มตัวสูง เมื่อเข้าไปในร่างกายก็จะไปจับอนุมูลอิสระและสารพิษต่างๆ มาเผาผลาญได้ดี แต่วันนึงไม่ควรกินเกิน 1 ช้อนโต๊ะค่ะ
ดื่มน้ำให้ได้วันละ 2 ลิตร
น้ำเป็นตัวช่วยให้คุณลดน้ำหนักได้ง่ายขึ้น เนื่องจากช่วยในการขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย หากเราท้องผูก ร่างกายจะเกิดการดึงสารอาหารกลับ ซึ่งมักจะเป็นไขมัน ซึ่งทำให้การลดน้ำหนักทำได้ยากขึ้น ดังนั้นเราจึงควรถ่ายทุกวันนะคะ



ลดความอ้วนด้วยน้ำ

ไม่เชื่อก็คงต้องเชื่อกันแล้วว่า การดื่มน้ำนั้นมีส่วนสำคัญในการช่วยรักษารูปร่างให้สวยงามอยู่เสมอ เพราะน้ำนั้นจะช่วยระงับความอยากอาหาร และไปช่วยในการเร่งการเผาผลาญไขมันในร่างกายอีกด้วย

 
จากรายงานการวิจัยยังพบว่า การดื่มน้ำน้อยนั้นเป็นสาเหตุทำให้เกิดการสะสมไขมันในร่างกายที่มากขึ้น เพราะไตจะไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพได้ถ้าหากเราขาดน้ำ ซึ่งส่งผลไปยังตับที่จะต้องทำงานหนักขึ้น ทั้งๆ ที่ตับมีหน้าที่หลักคือ เร่งการเผาผลาญของไขมันให้แปรเปลี่ยนเป็นพลังงาน



แต่เมื่อตับต้องมาทำหน้าที่แทนไต ก็ทำให้ไม่สามารถทำหน้าที่หลักได้อย่างเต็มที่ ด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้ร่างกายสามารถเผาผลาญไขมันได้น้อยลง ส่งผลไปถึงปริมาณไขมันในร่างกายที่ได้รับการสะสมจนมากขึ้น นี่เองที่ทำให้การควบคุมรูปร่างหยุดชะงัก


ดังนั้นควรหันมาดื่มน้ำอย่างสม่ำเสมอกันดีกว่า ไตและตับจะได้ทำหน้าที่ของตัวเองกันอย่างเต็มที่ แล้ว ไขมันที่สะสมไว้ในในร่างกายก็จะได้รับการเผาผลาญให้ลดลงตามปกติ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็รับรองได้ว่า ทรวดทรงองค์เอวของคุณจะดูดีอย่างถาวร

วันอังคารที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ตำบล หน้าไม้

ประวัติความเป็นมา :


ตำบลหน้าไม้ ตั้งอยู่ในเขตการปกครองของอำเภอลาดหลุมแก้ว ประกอบด้วย 11 หมู่บ้าน ได้แก่ หมู่ 1 บ้านคลองเซ็น ,หมู่ 2 บ้านคลองลากค้อน ,หมู่ 3 บ้านคลองอ่างแตก ,หมู่ 4 บ้านคลองอ่างแตก ,หมู่ 5 บ้านคลองหน้าไม้ตาเทศ ,หมู่ 6 บ้านคลองหน้าไม้ ,หมู่ 7 บ้านหน้าไม้ ,หมู่ 8 บ้านคลองลากช้าง ,หมู่ 9 บ้านคลองระแหงเหนือ ,หมู่ 10 บ้านคลองระแหงใต้ ,หมู่ 11 บ้านคลองลากค้อนใหญ่

นอกจากนี้ เดิมต.หน้าไม้เป็นป่าดงดิบ มีครอบครัวเข้ามาอยู่ไม่มากนัก ส่วนใหญ่มีอาชีพหาของป่า ล่าสัตว์ มีบุคคลเก่าแก่ มาอยู่ 2 คน ได้แก่ ปู่ทัศน์ ปู่จันทร์ ต่อมาได้เพิ่มจำนวนประชากรมาขึ้น มีการผลิตอุปกรณ์ เครื่องมือในการล่าสัตว์ ได้แก่หน้าไม้ เป็นต้น ตอนหลังจึงได้เรียกชื่อติดปากว่า บ้านหน้าไม้ และเป็นตำบลหน้าไม้ในปัจจุบัน

สภาพทั่วไปของตำบล :

พื้นที่เป็นที่ราบลุ่ม มีคลองต่างๆ เหมาะแก่การเพาะปลูก

อาณาเขตตำบล :

ทิศเหนือ ติดกับ อ.ลาดหลุมแก้ว จ.พระนครศรีอยุธยา

ทิศใต้ ติดกับ อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี

ทิศตะวันออก ติดกับ ต.ระแหง ต.บ่อเงิน อ.ลาดหลุมแก้ว

ทิศตะวันตก ติดกับ อ.ไทรน้อย จ.อยุธยา

จำนวนประชากรของตำบล :

จำนวนประชากรในเขต อบต. 7,746 คน และจำนวนหลังคาเรือน 6,196 หลังคาเรือน

ข้อมูลอาชีพของตำบล :

อาชีพหลัก ทำนา

อาชีพเสริม รับจ้างทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม

ข้อมูลสถานที่สำคัญของตำบล :

1.วัดเนกขัมมาราม ม. 2

2.วัดหน้าไม้ ม. 5

3.มัสยิดซาอาดุลตาดุ้ลอิสลาม

4.มูยาฮิดอุลยานัยนี

5.มัสยิดเนียะมาติลละห์

วันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ประวัติ กรุงเทพมหานคร

                                                      ประวัติกรุงเทพมหานคร
กรุงเทพมหานคร (อังกฤษ: Bangkok) เป็นเมืองหลวงแห่งราชอาณาจักรไทย และเป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดในประเทศไทย[3] รวมทั้งเป็นศูนย์กลางการปกครอง การศึกษา การคมนาคมขนส่ง การเงินการธนาคาร การพาณิชย์ การสื่อสาร และความเจริญก้าวหน้าด้านอื่น ๆ ของประเทศไทย นอกจากนี้ยังเป็นเมืองที่มีชื่อยาวที่สุดในโลกอีกด้วย มีแม่น้ำสำคัญคือ แม่น้ำเจ้าพระยาไหลผ่าน ทำให้แบ่งเมืองออกเป็น 2 ฝั่ง คือฝั่งพระนครและฝั่งธนบุรี (เดิมฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเป็นที่ตั้งของกรุงธนบุรี ซึ่งต่อมาภายหลังได้รวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกรุงเทพมหานคร) โดยกรุงเทพมหานครมีพื้นที่ทั้งหมด 1,568.737 ตารางกิโลเมตร พิกัดทางภูมิศาสตร์คือ ละติจูด 13° 45’ เหนือ ลองจิจูด 100° 31’ ตะวันออก



กรุงเทพมหานครเป็นเขตปกครองพิเศษของประเทศไทย โดยมิได้มีสถานะเป็นจังหวัด ซึ่งคำว่า กรุงเทพมหานคร นั้น ยังใช้เป็นคำเรียกสำนักงานปกครองส่วนท้องถิ่นของกรุงเทพมหานครอีกด้วย ปัจจุบันกรุงเทพมหานครใช้วิธีการเลือกตั้งผู้บริหารแบบ การเลือกตั้งผู้บริหารท้องถิ่นโดยตรง

คำว่า กรุงเทพมหานคร แปลว่า "พระนครอันกว้างใหญ่ ดุจเทพนคร" มาจากชื่อเต็มว่า กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุธยา มหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบูรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์[5] มีความหมายว่า "พระนครอันกว้างใหญ่ ดุจเทพนคร เป็นที่สถิตของพระแก้วมรกต เป็นมหานครที่ไม่มีใครรบชนะได้ มีความงามอันมั่นคง และเจริญยิ่ง เป็นเมืองหลวงที่บริบูรณ์ด้วยแก้วเก้าประการ น่ารื่นรมย์ยิ่ง มีพระราชนิเวศใหญ่โตมากมาย เป็นวิมานเทพที่ประทับของพระราชาผู้อวตารลงมา ซึ่งท้าวสักกเทวราชพระราชทานให้ พระวิษณุกรรมลงมาเนรมิตไว้"

โดยนามเดิมที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าฯ พระราชทานในตอนแรกนั้น ใช้ชื่อว่า “กรุงรัตนโกสินทร์อินท์ อโยธยา” ต่อมาในในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแก้นามพระนครเป็น “กรุงเทพมหานคร บวรรัตนโกสินท์ มหินทอยุธยา” จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเปลี่ยนคำว่า บวร เป็น อมร เปลี่ยนคำว่า มหินทอยุธยา โดยวิธีการสนธิศัพท์เป็น มหินทรายุธยา และเติมสร้อยนามต่อ ทั้งเปลี่ยนการสะกดคำ สินท์ เป็น สินทร์ จนเป็นที่มาของชื่อเต็มของ กรุงรัตนโกสินทร์ (กรุงเทพฯ) ข้างต้น
ชื่อทางการของกรุงเทพมหานครเมื่อถอดเป็นอักษรโรมัน คือ Krung Thep Maha Nakhon แต่คนทั่วไปนิยมทับศัพท์ตามชื่อที่ผู้พูดภาษาอังกฤษเรียกเมืองนี้ว่า Bangkok ซึ่งมาจากชื่อเดิมของกรุงเทพมหานคร คือ บางกอก


ชื่อเต็มของกรุงเทพมหานครเมื่อถอดเป็นอักษรโรมัน คือ Krungthepmahanakhon Amonrattanakosin Mahintharayutthaya Mahadilokphop Noppharatratchathaniburirom Udomratchaniwetmahasathan Amonphimanawatansathit Sakkathattiyawitsanukamprasitซึ่งเป็นชื่อสถานที่ที่ยาวที่สุดในโลกและได้จดบันทึกไว้ในกินเนสบุ๊ค[(169 ตัวอักษรยาวกว่าชื่อภูเขา Taumatawhakatangihangakoauauotamateaturipukakapikimaungahoronukupokaiwhenuakitanatahu (85ตัวอักษร)ในนิวซีแลนด์และชื่อทะเลสาบChargoggagogg­manchauggagogg­chaubunagungamaugg (45 ตัวอักษร) ในรัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา

ประวัติ
กรุงเทพมหานครริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาพื้นที่บริเวณกรุงเทพมหานครในปัจจุบัน เดิมเป็นที่ตั้งของเมืองธนบุรีศรีสมุทร ชาวต่างชาติเรียกกันว่า "บางกอก"มาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาและมีความสำคัญเนื่องจากเป็นเส้นทางออกสู่ทะเลและติดต่อค้าขายกับอาณาจักรต่าง ๆ เป็นเมืองหน้าด่านขนอน คอยดูแลเก็บภาษีกับเรือสินค้าทุกลำที่ผ่านเข้าออก ส่วนบริเวณปากน้ำตรงอ่าวไทย เรียกกันว่า "นิวอัมสเตอร์ดัม" มีชุมชนใหญ่และโกดังของชาวต่างประเทศไว้สำหรับพักสินค้า ปัจจุบันคือพื้นที่บริเวณอำเภอพระประแดง
ที่มาของคำว่า "บางกอก" นั้น มีข้อสันนิษฐานว่าอาจมาจากการที่แม่น้ำเจ้าพระยาคดเคี้ยวไปมา บางแห่งมีสภาพเป็นเกาะเป็นโคก จึงเรียกกันว่า "บางเกาะ" หรือ "บางโคก" หรือไม่ก็เป็นเพราะบริเวณนี้มีต้นมะกอกอยู่มาก จึงเรียกว่า "บางมะกอก" โดยคำว่า "บางมะกอก" มาจากวัดอรุณ ซึ่งเป็นชื่อเดิมของวัดดังกล่าว และต่อมาต่อมากร่อนคำลงจึงเหลือแต่คำว่าบางกอก

ต่อมาเมื่อถึงคราวเสียกรุงศรีอยุธยาใน พ.ศ. 2310 หลังการกอบกู้อิสรภาพจากพม่า สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงสถาปนาเมืองธนบุรีศรีมหาสมุทรให้เป็นราชธานีแห่งใหม่ คือ กรุงธนบุรี เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2313 แต่กรุงธนบุรีมีสภาพเป็นเมืองอกแตก ตรงกลางมีแม่น้ำเจ้าพระยาไหลผ่าน เป็นเหตุให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก (ทองด้วง) มีความคิดจะย้ายเมืองไปทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อให้การป้องกันรักษาเมืองเป็นไปได้โดยง่าย

เมื่อสิ้นรัชกาลสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีในวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325 สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้ขึ้นเสวยราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์ ทรงพระนามว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี มีพระราชดำริว่า ฟากตะวันออกของกรุงธนบุรีมีชัยภูมิดีกว่าตะวันตก เพราะมีลำน้ำเป็นขอบเขตอยู่กว่าครึ่ง หากข้าศึกยกมาติดถึงชานพระนคร ก็จะต่อสู้ป้องกันได้ง่ายกว่าอยู่ข้างตะวันตก จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างกรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาให้เป็นราชธานีแห่งใหม่ โดยสืบทอดศิลปกรรมและสถาปัตยกรรมจากพระราชวังหลวงของกรุงศรีอยุธยา
พระองค์มีพระบรมราชโองการให้พระยาธรรมาธิกรณ์กับพระยาวิจิตรนาวี เป็นแม่กองคุมช่างและไพร่ไปวัดกะที่ดินเพื่อสร้างพระนครใหม่ในวันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2325 ทรงประกอบพิธียกเสาหลักเมือง เมื่อวันอาทิตย์ เดือน 6 ขึ้น 10 ค่ำ ย่ำรุ่งแล้ว 9 บาท (54 นาที) ปีขาล จ.ศ. 1144 จัตวาศก ตรงกับวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2325 เวลา 6.54 น.[8] และทรงประกอบพระราชพิธีปราบดาภิเษกในวันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2325
ต่อมาในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเปลี่ยนชื่อพระนครจาก บวรรัตนโกสินทร์ เป็น อมรรัตนโกสินทร์ และมีฐานะในการปกครองส่วนท้องถิ่นเป็น "จังหวัดพระนคร"[ต้องการอ้างอิง]

ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ตัดถนนใหม่ขึ้น และเปลี่ยนรูปแบบผังเมืองกรุงเทพมหานครเฉกเช่นอารยประเทศ เนื่องจากในสมัยนั้นสยามประเทศถูกคุกคามจากมหาอำนาจยุโรป และตรงจุดนี้เป็นหนึ่งในข้ออ้างที่มหาอำนาจนำมาใช้เพื่อแทรกแซงและคุกคามสยามประเทศ ภายหลัง ต่างชาติยุโรปเองได้ยอมรับกรุงเทพมหานครว่า เป็นหนึ่งในเมืองที่มีผังเมืองงดงามที่สุดในโลกในสมัยนั้น

ต่อมาเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2514 รัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจรได้รวม จังหวัดพระนคร และ จังหวัดธนบุรี เข้าด้วยกันเป็น นครหลวงกรุงเทพธนบุรี และภายหลังการปรับปรุงการปกครองใหม่เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2515 จึงได้เปลี่ยนเป็นชื่อเป็น กรุงเทพมหานคร แต่นิยมเรียกกันว่า กรุงเทพฯ
การปกครอง
ตราประจำจังหวัดพระนครกรุงเทพมหานครมีลักษณะเป็นเขตการปกครองพิเศษ ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2528 กำหนดให้กรุงเทพมหานครเป็นทบวงการเมือง มีฐานะเป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่นนครหลวง มีผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร มาจากการเลือกตั้ง และเป็นผู้รับผิดชอบในการบริหารงาน อยู่ในตำแหน่งตามวาระคราวละ 4 ปี นับแต่วันเลือกตั้ง การดำเนินงานมีสภากรุงเทพมหานครที่ได้รับเลือกตั้งโดยตรงทำงานร่วมด้วย

ตราของกรุงเทพมหานคร เป็นรูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ พระหัตถ์ทรงสายฟ้า ตรานี้กรมศิลปากรออกแบบโดยอาศัยภาพเขียนฝีพระหัตถ์ของสมเด็จกรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์เป็นต้นแบบ เริ่มใช้ในปี พ.ศ. 2516 ตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายราชการ พ.ศ. 2482 ฉบับที่ 60 ลงวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 (สมัยเมื่อยังเป็นจังหวัดพระนครนั้นใช้ตราพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทเป็นตราประจำจังหวัด)

ต้นไม้ประจำกรุงเทพมหานคร คือ ต้นไทรย้อยใบแหลม (Ficus benjamina)

คำขวัญของกรุงเทพมหานคร : ทั้งชีวิต เราดูแล

การปกครองในกรุงเทพมหานครแบ่งออกเป็น 50 เขตการปกครอง

 อาณาเขตติดต่อ

กรุงเทพมหานครมีอาณาเขตติดต่อทางบกกับจังหวัดสมุทรสาคร จังหวัดนครปฐม จังหวัดนนทบุรี จังหวัดปทุมธานี จังหวัดฉะเชิงเทรา และจังหวัดสมุทรปราการ ส่วนอาณาเขตทางทะเล อ่าวไทยตอนใน ติดต่อจังหวัดเพชรบุรี จังหวัดสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรปราการ และจังหวัดชลบุรี โดยมีรายละเอียดดังนี้
ทิศเหนือ มีอาณาเขตติดต่อกับจังหวัดนนทบุรีและจังหวัดปทุมธานี

ทิศตะวันออก มีอาณาเขตติดต่อกับจังหวัดฉะเชิงเทราและ จังหวัดสมุทรปราการ

ทิศตะวันตก มีอาณาเขตติดต่อกับจังหวัดสมุทรสาครและจังหวัดนครปฐม

ทิศใต้ มีอาณาเขตติดต่อกับจังหวัดสมุทรปราการ และอ่าวไทย (ส่วนที่เป็นอ่าวไทยที่เป็นพื้นที่เดิมของจังหวัดธนบุรี ปัจจุบันคือเขตบางขุนเทียน ซึ่งมีอาณาเขตทางทะเลติดต่อทางอ่าวไทยกับจังหวัดสมุทรสาคร จังหวัดเพชรบุรี จังหวัดชลบุรี และจังหวัดสมุทรปราการ จุดที่อยู่ใต้สุดอยู่ที่ ละติจูด 13 องศา-13 ลิปดา-00 ฟิลิปดาเหนือ, ลองจิจูด 100 องศา-27 ลิปดา-30 ฟิลิปดาตะวันออก ซึ่งเป็นการแบ่งตามพระราชบัญญัติกำหนดเขตจังหวัดในอ่าวไทยตอนใน พ.ศ. 2502 )




วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ประวัติและความเป็นมาของประเทศไทย

            ประวัติและความเป็นมาของประเทศไทย

ประเทศไทยแต่เดิมมีชื่อว่า "ประเทศสยาม" หรือ "สยามประเทศ"
ดินแดนที่เป็นประเทศไทยส่วนใหญ่นับแต่บริเวณภาคใต้ไปจนภาคเหนือ อันเป็นเขต ป่าเขานั้น อยู่ในบริเวณที่เรียกว่า กึ่งชุ่มชื้น และกึ่งแห้งแล้ง จึงเป็นบริเวณที่เหมาะสมแก่การตั้งหลักแหล่งของชุมชนมนุษย์ให้เป็นบ้านเมืองได้เกือบทั้งสิ้น
รัฐหรือแคว้นในดินแดนประเทศไทยในระยะแรกเริ่มส่วนใหญ่ เกิดขึ้นในบริเวณภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ เกิดขึ้นในช่วงเวลาประมาณพุทธศตวรรษ ที่ 7-8 เรื่อยมา จนถึงพุทธศตวรรษที่ 15 การย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานจึงเลือกเฟ้นและจำกัดอยู่ในบริเวณภูมิภาคดังกล่าว ที่มีความเหมาะสมทั้งในด้านเกษตรกรรมและการเป็นแหล่งแลกเปลี่ยนสินค้ากว่าบริเวณอื่น ๆ ภาคอื่นซึ่งได้แก่ภาคเหนือและบริเวณอื่นที่ใกล้เคียงก็มีผู้คนอยู่เพียงแต่มีแต่เป็นชุมชนเล็ก ๆ กระจายอยู่ตามท้องถิ่นต่าง ๆ เท่านั้น

กรุงศรีอยุธยาตั้งแต่รัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถลงมา นับได้ว่ามีฐานะเป็นราชอาณาจักรสยามอย่างแท้จริงสิ่งสำคัญที่แสดงให้เห็นว่ากรุงศรีอยุธยาในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เป็นอาณาจักรสยามอย่างแท้จริง คือมีหลักฐานทั้งด้านพระราชพงศาวดารและกฎหมายเก่าตลอดจนจารึกและลายลักษณ์อื่น ๆ ที่ชี้ให้เห็นว่ามีการปฏิรูปการปกครองและการบริหารราชการแผ่นดินที่รวมศูนย์แห่งอำนาจมาอยู่ภายใต้พระมหากษัตริย์ ณ ราชธานีเพียงแห่งเดียว

นั่นก็คือ การยกเลิกการแต่งตั้งเจ้านายในพระราชวงศ์ เช่น พระราชโอรส พระราชนัดดา ไปปกครองเมืองสำคัญที่เรียกว่า เมืองลูกหลวง หรือหลานหลวง ตั้งแต่ก่อนออกกฎข้อบังคับให้บรรดาเจ้านายอยู่ภายในนครโดยมีการแต่งตั้งให้มีตำแหน่ง ชั้นยศ ศักดิ์ และสิทธิพิเศษของแต่ละบุคคล ส่วนในเรื่องการปกครองหัวเมืองนั้น โปรดให้มีการแต่งตั้งขุนนางจากส่วนกลางไปปกครองเจ้าเมือง ขุนนาง และคณะกรรมการเมืองแต่ละเมืองมีตำแหน่ง ยศ ชั้น ราชทินนาม และศักดินา ลำดับในลักษณะที่สอดคล้องกับขนาดและฐานความสำคัญของแต่ละเมือง ส่วนเมืองรองลงมาได้แก่ เมืองชั้นโท และชั้นตรี ที่มีเจ้าเมืองมียศเป็นพระยาหรือออกญาลงมา บรรดาเจ้าเมืองเหล่านี้ไม่มีอำนาจและสิทธิในการปกครองและการบริหารเต็มที่อย่างแต่ก่อน จะต้องขึ้นอยู่กับการควบคุมของเจ้าสังกัดใหญ่ในพระนครหลวง ซึ่งประกอบด้วยฝ่ายทหารและพลเรือน

นับตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 20 ลงมา ผู้ที่เรียกว่าชาวสยามหรือเมืองที่เรียกว่าสยามนั้น หมายถึงชาวกรุงศรีอยุธยาและราชอาณาจักรอยุธยาในลักษณะที่ให้เห็นว่าแตกต่างไปจากชาวเชียงใหม่ ชาวล้านนา ชาวรามัญ ชาวกัมพูชา ของบ้านเมืองที่อยู่ใกล้เคียงกัน

  ที่ตั้งของประเทศไทย
ประเทศไทยตั้งอยู่ในทวีปเอเชียในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในบริเวณพื้นที่ที่เรียกว่า "คาบสมุทรอินโดจีน" ซึ่งมีความหมายมาจากการเป็นคาบสมุทรที่เชื่อมต่อ คืออยู่ระหว่างกลางของดินแดนใหญ่ 2 บริเวณ คืออินเดียทางตะวันตก และจีนทางตะวันออก โดยล้อมรอบไปด้วยเพื่อนบ้านใกล้เคียง คือ พม่า ลาว กัมพูชา มาเลเซีย และเพื่อนบ้าน ในเขตภูมิภาคคือ เวียดนาม สิงคโปร์ อินโดนีเซีย บรูไน และฟิลิปปินส์

ภาษา

ประเทศไทยมีภาษาของตนเองโดยเฉพาะทั้งภาษาพูดและเขียนเป็นภาษาประจำชาติ เรียกว่า "ภาษาไทย" เราไม่ทราบแน่นอนว่าภาษาไทยกำเนิดมาจากแหล่งใด แต่เมื่อพบศิลาจารึกที่พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ทรงประดิษฐ์ขึ้นเมื่อ ปี พ.ศ. 1826 เป็นต้นมา ทำให้เราสามารถทราบประวัติและวิวัฒนาการของภาษไทย ตั้งแต่สมัยสุโขทัย จนกระทั่งถึงสมัยรัตนโกสินทร์ ภาษาไทยมีลักษณะเฉพาะตัวเป็นภาษาที่มีระดับเสียง โดยการใช้วรรณยุกต์กำกับ คือมีเสียงวรรณยุกต์ 4 รูป คือ ไม้เอก โท ตรี และจัตวา กำกับบนอักษรซึ่งปัจจุบันมีอักษรใช้ 44 ตัว แบ่งออกเป็นอักษรสูง 11 ตัว อักษรกลาง 9 ตัว และอักษรต่ำ 24 ตัว มีสระ 28 รูป ซึ่งมีเสียงสระ 32 เสียง ประกอบคำโดยนำเอาอักษรผสมกับสระวรรณคดี ต่าง ๆ ทั้งที่เป็นร้อยแก้วและร้อยกรอง นั้นกวีได้นำคำมารจนาให้เกิดความไพเราะเพราะพริ้งได้ ทั้งนี้สาเหตุหนึ่งเนื่องมาจากลักษณะของภาษาไทย นั่นเอง

เมืองหลวง

กรุงเทพมหานคร เป็นเมืองหลวงของประเทศไทย มีเนื้อที่กว้าง 1,549 ตารางกิโลเมตร เป็นศูนย์กลางแห่งความเจริญต่าง ๆ ของชาติแต่เดิม กรุงเทพมหานคร มีฐานะเป็นจังหวัด ๆ หนึ่งเรียกชื่อตามราชการว่า จังหวัดพระนคร ต่อมาได้รวมกับจังหวัดธนบุรี ซึ่งตั้งอยู่ทางฝั่งขวาแม่น้ำเจ้าพระยา ตรงข้ามกับกรุงเทพฯ ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 24 ลงวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2514 เป็นจังหวัดเดียวกันโดยเรียกชื่อใหม่ว่า นครหลวงกรุงเทพธนบุรี และต่อมาได้มีการเปลี่ยนชื่อเป็น กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2515 ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 335

รัฐบาลและการปกครอง

ประเทศไทยมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของประเทศ มีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าคณะรัฐบาล ประเทศไทยมีการจัดระเบียบการปกครองภายในประเทศอย่างเป็นระบบ มาช้านานแล้ว ซึ่งยังผลให้ประเทศไทยมีความเป็นปึกแผ่นและสามารถรักษาเอกราชมาได้จนถึงทุกวันนี้ การปกครองของไทยได้ปรับและเปลี่ยนแปลงให้เหมาะสมกับกาลสมัย และเป็นไปตามความต้องการของประเทศชาติเสมอมา ทำให้วิธีดำเนินการปกครองแต่ละสมัยแตกต่างกันไป

สมัยสุโขทัย (พ.ศ. 1781 - 1981)

การปกครองเป็นแบบพ่อปกครองลูก ผู้ปกครองคือพระมหากษัตริย์ คำนำหน้าของ พระมหากษัตริย์ไทยในสมัยนั้นจึงใช้คำว่า "พ่อขุน"

สมัยอยุธยา (พ.ศ. 1893 - 2310)

เริ่มต้นเมื่อพระเจ้าอู่ทอง ทรงตั้งกรุงศรีอยุธยาขึ้นเป็นราชธานีเมื่อราวปี พ.ศ. 1893 คำที่ใช้เรียกพระเจ้าอู่ทองมิได้เรียก "พ่อขุน" อย่างที่เรียกกันมาครั้งสุโขทัย แต่เรียกว่า "สมเด็จ พระพุทธเจ้าอยู่หัว" พระมหากษัตริย์ทรงอยู่ในฐานะเทวราชหรือสมมติเทพ เป็นองค์รัฐาธิปัตย์ ปกครองแผ่นดิน

สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น (พ.ศ. 2325 - 2475)

ได้นำเอาแบบอย่างการปกครองในสมัยสุโขทัย และอยุธยามาผสมกัน ฐานะของพระมหากษัตริย์เปลี่ยนแปลงไป ไม่ได้อยู่ในฐานะเทวราชหรือสมมติเทพดังแต่ก่อน ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพระมหากษัตริย์กับราษฎรมีความใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น ถึงแม้จะปกครองตามระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่มีลักษณะประชาธิปไตยแฝงอยู่ในหลายรูปแบบ เช่น แทรกอยู่ในการปกครองพระมหากษัตริย์ทรงให้สิทธิเสรีภาพแก่ประขาชนในการดำรงชีวิต การปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สิ้นสุดลงเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในวันที่ 24 มิถุนายน 2475 โดยคณะราษฎร์ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้นับเป็นจุดเริ่มต้นของการ ปกครอง ในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข มีศูนย์อำนาจการปกครองอยู่ที่ 3 สถาบันสำคัญคือ สถาบันนิติบัญญัติ ซึ่งมีรัฐสภาเป็นผู้ใช้อำนาจในการออกกฎหมาย สถาบันบริหารซึ่งมีคณะรัฐมนตรีเป็นผู้ใช้อำนาจบริหาร และสถาบันตุลาการซึ่งมีศาลสถิตยุติธรรมเป็นผู้ใช้อำนาจหน้าที่พิพากษาอรรถคดีในพระปรมาภิไธย

ศาสนา

ประเทศไทย มีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ คนไทยสามารถนับถือศาสนาต่าง ๆ กันได้ แต่มีผู้นับถือศาสนาพุทธกว่าร้อยละ 90 คนไทยยังนับถือศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์ ศาสนาพราหมณ์ ฮินดู และซิกซ์ เป็นต้น รัฐธรรมนูญของไทยและกฎหมายอื่น ๆ ให้ความคุ้มครองในเรื่องการนับถือศาสนาเป็นอันดี ไม่ได้บังคับให้ประชาชนชาวไทยนับถือศาสนาใดศาสนาหนึ่ง เป็นการเฉพาะ โดยถือว่าบุคคลย่อมมีเสรีภาพในการนับถือศาสนานิกายของศาสนา แม้ศาสนาต่าง ๆ จะมีแนวทางปฏิบัติและรายละเอียดบางประการที่แตกต่างกันแต่ก็มีหลักเดียวกันคือต่างมุ่งสอนให้ทุกคนประกอบความดี ละเว้นความชั่ว ทั้งนี้เพื่อความเจริญของบุคคลในทางร่างกาย และจิตใจ อันจะนำสันติสุขมาสู่สังคมส่วนรวม




วันเสาร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2553



ประวัติฟุตบอลโลก



"ฟุตบอลโลก (world cup)" เป็นมหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่และมีผู้ให้ความสนใจทั่วโลก โดย สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ ฟีฟ่า (F.I.F.A.) กำหนดให้จัดขึ้นทุกๆ 4 ปี โดยให้แต่ละประเทศที่มีศักยภาพผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเป็นเจ้าภาพ
สำหรับผู้ริเริ่มให้มีการแข่งขันครั้งแรกคือ จูลส์ ริเมท์ (Jules Rimet) เป็นชาวฝรั่งเศส ได้เสนอในที่ประชุมของประเทศสมาชิกสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ เมื่อปี ค.ศ.1902 แต่กว่าการแข่งขันครั้งแรกจะเริ่มขึ้นได้ก็ล่วงมาถึงปี ค.ศ.1930 ประเทศอุรุกวัย รับเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน โดยมี 13 ชาติ ส่งทีมร่วมแข่งขัน และอุรุกวัยเจ้าภาพก็คว้าแชมป์ไปครอง และเพื่อเป็นเกียรติแด่ จูลส์ ริเมท์ ถ้วยรางวัลชนะเลิศจึงใช้ชื่อว่า "ถ้วยจูลส์ ริเมท์"
หลังจากฟุตบอลโลกครั้งที่ 3 ในปี ค.ศ.1938 การแข่งขันต้องหยุดชะงักไป 12 ปี เนื่องจากเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 และได้มาเริ่มแข่งขันครั้งที่ 4 ในปี ค.ศ.1950 โดยบราซิลรับเป็นเจ้าภาพท่ามกลางความขัดแย้งของหลายๆ ชาติ เนื่องจากควันหลงจากสงครามโลกนั่นเอง
ต่อมาในปี ค.ศ.1970 ประเทศบราซิลได้คว้าแชมป์โลกเป็นสมัยที่ 3 จึงได้สิทธิ์ครอบครองถ้วยจูลส์ริเมท์ (ซึ่งภายหลังได้ถูกขโมยไป) ทางฟีฟ่าจึงได้จัดทำถ้วยรางวัลขึ้นมาใหม่ใช้ชื่อว่า "ถ้วยฟีฟ่า" ทำด้วยทองคำ มีความสูง 36 ซม. มูลค่าประมาณ 4 แสนดอลลาร์สหรัฐและใช้มาจนถึงปัจจุบัน
ฟุตบอลโลก ครั้งที่ 12 ในปี ค.ศ.1982 ฟีฟ่าได้ปรับเปลี่ยนจำนวนทีมเข้าแข่งขันจากเดิม 16 ทีม เป็น 24 ทีม เนื่องจาก "ฟุตบอล" เริ่มได้รับความนิยมไปแพร่หลายทั่วโลก แต่ละประเทศมีการพัฒนาฝีเท้าขึ้นมาก จึงน่าจะมีทีมที่ผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายมากขึ้นตามไปด้วย
ฟุตบอลโลกเริ่มเข้าสู่ความนิยมอย่างเต็มรูปแบบทั้งด้าน กีฬา ธุรกิจ การเงิน ลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสด และ สิทธิประโยชน์ต่างๆ ในครั้งที่ 16 เมื่อปี ค.ศ.1998 ที่ประเทศฝรั่งเศส เป็นเจ้าภาพ พร้อมกับจำนวนทีมที่ฟีฟ่ากำหนดให้ผ่านเข้ามาถึงรอบสุดท้ายมากขึ้นเป็น 32 ทีมอาจเรียกว่าฟุตบอลโลกได้ก้าวขึ้นมาสู่อีกยุคหนึ่งก็ว่าได้